เลือกซื้อแอร์ยี่ห้อไหนดี?

899 จำนวนผู้เข้าชม  | 

เลือกซื้อแอร์ยี่ห้อไหนดี?

"ซื้อแอร์ยี่ห้อไหนดี?" เลือกแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศอย่างไรให้คุ้มค่า ประหยัดไฟ ทนทาน และไม่ต้องมีปัญหามาให้กวนใจ เป็นคำถามที่พบบ่อยสำหรับคนที่กำลังเลือกซื้อแอร์ใหม่ แอร์ยี่ห้อดัง ๆ ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และเลือกตัวแทนจำหน่ายเครื่องปรับอากาศที่น่าเชื่อถือก็สามารถทำให้เรามั่นใจได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้แอร์ทุกยี่ห้อทุกรุ่นก็มีข้อดี มีจุดเด่น และประสิทธิภาพที่ต่างกันไป จึงควรพิจารณาหลาย ๆ ด้านก่อนตัดสินใจ ไดกิ้นจึงขอแนะนำแนวทางในการเลือกซื้อแอร์ให้ตรงกับความต้องการใช้งาน ให้คุ้มค่า และประหยัดไฟ มากที่สุด

1. เลือกประเภทของแอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
แอร์สำหรับการใช้งานโดยทั่วไป สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ

1.1 แอร์สำหรับบ้านพักอาศัย ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศแบบติดผนังขนาดกระทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้ตามบ้านเรือน คอนโด ออฟฟิศขนาดเล็ก หรือใช้ติดตั้งในห้องขนาดเล็ก ส่วนใหญ่เป็นแอร์ติดผนัง เพราะติดตั้งและดูแลรักษาง่าย หรือแอร์ตั้งพื้น ที่สามารถนำแอร์ไปวางได้ในพื้นที่ที่หลากหลาย สามารถทำความเย็นได้รวดเร็ว

1.2 แอร์เชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ สามารถแบ่งย่อยได้อีกหลายรูปแบบ เช่น แบบฝังฝ้า ซึ่งติดตั้งอยู่บนตัวฝ้าของเพดาน มีการปล่อยความเย็นออกมาจากตัวแอร์ 4 ทิศทาง เป็นต้น เหมาะสำหรับใช้กับสำนักงาน ร้านค้า ร้านอาหาร หรือภายในอาคารที่มีพื้นที่กว้างขวาง

 

2. เลือกขนาดของแอร์ให้เหมาะสม เลือก BTU ให้ถูกต้องกับขนาดของห้องที่เราจะติดตั้ง
ขนาดแอร์ก็เป็นอีกหลักเกณฑ์หลักในการเลือกแอร์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ซึ่งหน่วยวัดขนาดของแอร์นั้นเรียกว่า BTU/h โดยสามารถวัดได้ว่าแอร์เครื่องนั้นมีความสามารถในการดึงความร้อนออกจากห้องได้กี่ BTU ต่อชั่วโมง (1 BTU เท่ากับปริมาณความร้อนที่ทำให้น้ำ 1 ปอนด์มีอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง 1 องศาฟาเรนไฮด์ หรือ 0.56 องศาเซลเซียส)

จำนวนของ BTU ที่ควรเลือกใช้นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของห้อง (ความกว้าง x ยาว) และตัวแปรต่างๆ เช่น ห้องโดนแดดหรือไม่โดนแดด ความสูงของเพดานห้อง จำนวนคนในห้อง เป็นต้น การเลือกแอร์ที่มี BTU ต่ำไป จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานหนักตลอดเวลาเพื่อคงอุณหภูมิให้ได้ตามที่ตั้งไว้ จึงเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและทำให้เครื่องเสียเร็ว ส่วนการเลือกแอร์ที่มี BTU สูงไปก็ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ เพราะยิ่ง BTU สูง เครื่องก็ยิ่งมีราคาแพงและกินไฟมาก สามารถคำนวณ BTU เบื้องต้นได้ที่นี่

 

3. เลือกแอร์ที่ประหยัดพลังงาน
ไม่ว่าจะซื้อแอร์ยี่ห้อไหนก็ตาม ควรเลือกแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โดยฉลากไฟเบอร์ 5 นั้นเป็นระดับที่ประหยัดไฟมากที่สุด รวมทั้งแอร์ที่มีค่า EER หรือ SEER สูงโดยค่า EER คือ ค่าประสิทธิภาพแอร์ในการใช้พลังงาน วัดจากความสามารถในการทำความเย็น (BTU/h) ต่อกำลังไฟที่ใช้ไป (W) ยิ่งแอร์มีค่า EER สูงก็ยิ่งกินไฟน้อย

ส่วนค่า SEER คือ ค่าประสิทธิภาพการใช้พลังงานตามฤดูกาลของเครื่องปรับอากาศ พูดง่ายๆ ก็คืออากาศภายนอกมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ ซึ่งใช้วัดกับแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) โดยถ้าค่า SEER สูง ก็ยิ่งกินไฟน้อยเช่นกัน

ปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 โฉมใหม่ ที่เรียกกันว่า เบอร์ 5 ติดดาว โดยแบ่งเกณฑ์ประสิทธิภาพเป็น 4 ระดับได้แก่ เบอร์ 5 / เบอร์ 5 1 ดาว / เบอร์ 5 2 ดาว / เบอร์ 5 3 ดาว โดยจำนวนดาวยิ่งมาก ยิ่งประหยัดไฟ

นอกจากนี้แล้ว แอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เป็นเทคโนโลยีที่สามารถปรับเพิ่มหรือลดความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ได้ตามอุณหภูมิห้อง ก็ช่วยทำให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าแอร์ธรรมดา และให้อุณหภูมิที่คงที่มากกว่า

 

4. เลือกแอร์ที่มีการใช้งานทนทาน ไม่มีปัญหาจุกจิก
อายุการใช้งานของแอร์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ใช้ในการพิจารณาเลือกซื้อ เพราะคุณคงไม่อยากให้อายุของแอร์ขึ้นอยู่แค่การใช้งานและดูแลรักษาให้ถูกวิธี แต่ควรขึ้นอยู่กับความทนทานของตัวเครื่องด้วย แอร์อินเวอร์เตอร์ (Inverter) ของไดกิ้นมีความพิเศษด้วย คอมเพรสเซอร์แบบสวิง ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของไดกิ้น ที่สามารถลดแรงเสียดทานและการสั่นสะเทือนของมอเตอร์ ทำให้เครื่องทำงานได้เงียบมากขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้ง ระบบ Surge Protection ที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟตกหรือไฟกระชาก และ สารเคลือบแผงวงจร PCB ที่ป้องกันมดหรือแมลงเข้าไปรบกวนการทำงานของเครื่อง จึงไม่ต้องกังวลว่าจะต้องคอยซ่อมบำรุงบ่อยๆ ทนทาน ไม่จุกจิก

 

5. เลือกแอร์ที่เสียงเบา ทำงานเงียบ
เสียงของแอร์อาจเป็นสิ่งที่รบกวนสมาธิหรือการนอนหลับของคุณได้เลย โดยเฉพาะแอร์ที่ไม่ใช่ระบบ อินเวอร์เตอร์ เพราะคอมเพรสเซอร์จะถูกตัดเมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่ตั้งไว้ และเริ่มการทำงานใหม่เมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้น ทำให้เกิดเสียงดัง แตกต่างจากแอร์อินเวอร์เตอร์ของไดกิ้น ที่จะลดรอบมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ลงเพื่อให้อุณหภูมิคงที่ แทนที่จะจะตัดการทำงานแล้วเริ่มใหม่ ทำให้ไม่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ที่สำคัญคือการทำงานของเครื่องเงียบ ไม่เกิดไฟกระชาก

 

6. เลือกช่างแอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ
แอร์ที่คุณใช้งานจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ 50% และการติดตั้งอีก 50% ดังนั้นช่างติดตั้งเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญมาก ควรเลือกช่างติดตั้งที่ได้รับการอบรมด้านการติดตั้งและบำรุงรักษาจากบริษัทแอร์แต่ละยี่ห้อโดยตรงเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการติดตั้งที่ได้มาตรฐาน

ไดกิ้นจัดโครงการชื่อ "ช่างแอร์ดีดี" เปิดโอกาสให้ตัวแทนจำหน่ายและช่างแอร์ได้เข้ารวมหลักสูตรอบรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แอร์ไดกิ้น เช่นการติดตั้ง การดูแลรักษา พร้อมมีเครื่องให้ทดสอบปฏิบัติจริง ไม่ได้มีเพียงภาคทฤษฎี ได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จึงให้ผู้ซื้อมั่นใจได้มากขึ้นอีกระดับ ค้นหาตัวแทนจำหน่ายไดกิ้น

 

7. เลือกการบริการหลังการขายที่ดี
เลือกการบริการหลังการขายที่ดี แน่นอนว่าไม่มีใครอยากใช้การบริการหลังการขายเพราะนั่นหมายความแอร์ของคุณมีปัญหา ซึ่งผู้ซื้อที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับบริการหลังการขายอาจเลือกได้ยากว่าแบรนด์ไหนดี ให้ดูรีวิวจากผู้ใช้งานจริงตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยให้พิจารณาจากบริษัทแอร์ที่มีศูนย์บริการครอบคลุมทั่วประเทศ ให้บริการรวดเร็ว สุภาพ ตรงต่อเวลา พร้อมแก้ปัญหาจบในการเข้าหน้างานครั้งเดียว

ทั้งหมดข้างต้นคงเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคำถาม “เลือกซื้อแอร์ยี่ห้อไหนดี?” และแน่นอนว่าแอร์อินเวอร์เตอร์ของไดกิ้นสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นแอร์ที่ทนทาน ประหยัดไฟ ไม่จุกจิก สามารถใช้งานได้อย่างทนทานและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากไม่ต้องเจอปัญหาไฟตก หรือจิ้งจกเข้าไปรบกวนการทำงานของเครื่อง ทั้งยังทำงานได้อย่างเงียบเชียบ ไม่รบกวนขณะนอนหลับ และยังมีบริการหลังการขายที่ดีจากไดกิ้นอีกด้วย

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้